8 วิธีฟิตอยู่บ้าน ไม่ง้อฟิตเนส
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นในโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็น โรคระบาดโควิด-19 ฝุ่นพิษ PM2.5 ควันจากรถยนต์ หรือแม้แต่ปัญหารถติด ทำให้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินการชีวิตกันใหม่ เช่น การทำงานแบบ Work from home หรือการออกกำลังกายที่บ้าน เพราะหากเราต้องไปยิมฟิตเนส ก็อาจจะต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 และฝุ่นพิษ PM2.5 ได้ แต่เราสามารถออกกำลังกายได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ซึ่งในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักวิธีฟิตหุ่นง่าย ๆ ทำได้ที่บ้าน แบบไม่ง้อยิมฟิสเนสเลยค่ะ
ไอเทมออกกำลังกายที่ควรมีติดบ้าน
ก่อนอื่นเลยเราขอแนะนำไอเทม หรืออุปกรณ์ออกกำลังกายที่ควรมีติดบ้านไว้นะคะ เพื่อความสะดวกและเป็นตัวช่วยให้เราได้ฟิตหุ่นกันค่ะ
1. ดัมเบล
ดัมเบล เป็นอุปกรณ์สุดคลาสสิกที่ควรมีไว้ติดบ้านเลยค่ะ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกน้ำหนักและขนาดได้ตามความต้องการอีกด้วยค่ะ
2. เชือกกระโดด
ประโยชน์ของการวิ่งมีมากมาย ตั้งแต่การปรับปรุงสมรรถภาพ หัวใจและหลอดเลือด ไปจนถึงการลดความเครียด นี่คือประโยชน์ที่สำคัญที่คุณควรรู้
3. เสื่อโยคะ
สามารถใช้ได้กับการออกกำลังกายทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น บอดี้เวท โยคะ หรือฟิตเนส นอกจากนี้เสื่อโยคะยังช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บได้ เช่น การวางตัวบนพื้น หรอการวางมือบนพื้น อาจทำให้ข้อต่อหรือกล้ามเนื้อของเราบาดเจ็บได้หากกระแทกพื้นโดยตรง
4. ลู่วิ่งไฟฟ้า
เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่สามารถออกกำลังกายได้ทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นร้อน ฝน หรือหนาว ก็สามารถทำได้ นอกจากนี้ยังสามารถปรับความเร็วของการวิ่งหรือเดินได้ด้วยค่ะ
5. จักรยานออกกำลังกาย
ปัจจุบันจักรยานออกกำลังกายราคาไม่แพง และสามารถเข้าถึงได้ และยังช่วยให้เผาผลาญแคลอรี่ได้ดี ไม่แพ้จักรยานทั่วไปเลยค่ะ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดของข้อเข่าเสื่อมได้ดีเลยค่ะ
6. ฮูล่าฮูป
หนึ่งในอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกาย ที่ช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดีเช่นกันค่ะ แถวยังเป็นอุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่าย มีหลากหลายขนาด นอกจากนี้การเล่นฮูล่าฮูปยังเพิ่มความคล่องตัวได้ดีด้วยค่ะ
รวม 8 วิธีฟิต อยู่บ้านก็ทำได้ ไม่ง้อฟิตเนส
1. กระโดดเชือก
การกระโดดเชือกเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ง่าย ที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้ดี แถมยังช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อต้นขา น่อง ก้น หรือหัวไหล่ ก่อนอื่นให้เราเลือกเชือกกระโดดที่เหมาะกับส่วนสูงของเรา วิธีการวัดคือ ให้ยืนเหยียบบริเวณกึ่งกลางของเชือก จากนั้นดึงด้ามจับขึ้นมาให้เชือกตึง ให้ด้ามจับพอดีกับรักแร้จึงจะถือว่าเป็นเชือกที่มีขนาดพอดีกับเราค่ะ
ข้อแนะนำสำหรับการกระโดดเชือก
- ให้เลือกรองเท้าที่เหมาะสำหรับรับแรงกระแทกได้ดี
- ให้จับด้ามจับบริเวณกึ่งกลางไปจนถึงปลายด้าม (ยิ่งจับส่วนปลายแรงเหวี่ยงก็จะยิ่งเยอะ)
- พยายามกระโดดเท้าคู่ พร้อมกับเหวี่ยงเชือกให้รอดขาสูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว
- ลงน้ำหนักตัวที่ปลายเท้า งอเข่าเล็กน้อยเพื่อลดแรงกระแทก (เวลากระโดดส้นเท้าจะต้องไม่แตะพื้นนะคะ)
- ช่วงเริ่มต้น 1- 2 สัปดาห์แรกอาจเริ่มจาก 3 – 5 นาทีก่อนนะคะ หลังจากนั้นค่อยเพิ่มเวลา จาก 5 นาที เป็น 6 นาที ไปเรื่อย ๆ หรือตามที่เราไหวค่ะ และไม่ควรหักโหมจนเกินควร ควรกระโดดติดต่อกันแค่ 1 นาที และพัก 1 นาทีนะคะ
- การเปิดเพลง 120 บีตต่อนาทีก็จะช่วยให้การกระโดดเชือกสนุกมากขึ้นนะคะ
- การกระโดดเชือก 130 รอบต่อนาที ก็เทียบเท่ากับการวิ่งด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยค่ะ นอกจากนี้การกระโดดเชือกเพียง 12 – 15 นาที จะช่วยให้เผาผลาญได้ดีเทียบเท่ากับการวิ่งจ๊อกกิ้ง 30 นาทีเลยค่ะ
2. การเล่นโยคะ
เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับทำที่บ้านค่ะ เพราะโยคะจะช่วยยืดกล้ามเนื้อ ทำให้การเคลื่อนไหวคล่องตัวมากขึ้น ระบบการหายใจดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดได้ดีและทำให้ร่างกายได้เกิดการผ่อนคลาย ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเล่นโยคะคือ 30 – 60 นาที หัวใจหลักของการเล่นโยคะคือ การเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ การสร้างความสมดุลให้ร่างกายและจิตใจ หรือการบริหารลมหายใจควบคู่ไปกับการฝึกร่างกายนั่นเองค่ะ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ “หุ่นดีง่าย ๆ ด้วยโยคะลดน้ำหนัก”
3. เดินหรือวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า
ข้อดีของลู่วิ่งไฟฟ้าคือสามารถออกกำลังกายได้ทุกสภาวะอากาศไม่ว่าจะร้อน หนาว ความร้อนจากแสงแดด และฝน แถมยังรองรับน้ำหนักได้ดี ช่วยให้ลดการบาดเจ็บของข้อต่อได้ นอกจากนี้ลู่วิ่งไฟฟ้ายังสามารถปรับความชันได้ เพื่มความเข้มข้นของการวิ่งหรือเดินได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ การวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า ถือเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ที่ช่วยส่งผลดีต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้เป็นอย่างดี
คำแนะนำสำหรับการใช้ลู่วิ่งไฟฟ้า
- ก่อนเริ่มวิ่งหรือเดิน ควรวอร์มอัพร่างกายให้พร้อม อย่างน้อย 5 – 10 นาที เพื่อลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
- ลู่วิ่งไฟฟ้าบางรุ่น สามารถใส่ข้อมูลน้ำหนัก ส่วนสูงลงไปได้ เพื่อรับรู้จำนวนแคลอรี่ และพลังงานที่เสียไปจากการวิ่ง
- การวิ่งบนลู่วิ่งให้ได้ผลลัพที่ดีที่สุดและธรรมชาติที่สุด ให้วิ่งเหมือนวิ่งบนถนนปกติเลยค่ะ
- ในการออกกำลังกายควรวิ่งสลับกับการเดินไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย 30 นาที
- ไม่ควรปรับความเร็วและความชันของลู่วิ่งมากเกินไป เพราะอาจจะเกินขีดจำกัดของเราได้ หรืออาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ค่ะ
4. ปั่นจักรยานออกกำลังกายอยู่กับที่
การปั่นจักรยานออกกำลังกายจะช่วยให้ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี แถมยังช่วยให้ลดความเสี่ยงของโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดีอีกด้วยค่ะ การปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำ แต่ช่วยให้เผาผลาญแคลอรี่ได้ดีและยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้กล้ามกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ก้น สะโพก ขา และน่อง การปั่นจักรยานออกกำลังกายเหมาะสำหรับทุกวัยไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุค่ะ
คำแนะนำสำหรับการปั่นจักรยานออกกำลังกาย
- ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ แนะนำให้ปั่นจักรยานออกกำลังกายอย่างน้อย วันละ 30 นาที 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ สำหรับเด็ก แนะนำให้ปั่นจักรยานออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 45 – 60 นาที เพราะการออกกำลังกายดด้วยการปั่นจักรยานเป็นประจำจะช่วยปรับสมดุลของร่างกายได้ดี ช่วยให้เคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้น และสร้างความแข็งแรงให้กับข้อต่อ และมวลกระดูก
- การปั่นจักรยานจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดี
- ปรับความสูงของเบาะนั่งให้เหมาะสม ให้เข่างอเล็กน้อยประมาณ 150 – 160 องศา และไม่เหยียดตึงจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการปวดเข่า หรือด้านหลังขาได้ แต่หากต่ำเกินไปก็อาจจะทำให้ปวดเข่าบริเวณด้านหน้าได้ค่ะ
- ปรับความสูงของมือจับให้พอดี ให้ข้อศอกงอเล็กน้อย หรือให้จับได้สบายไม่ปวดหลัง
- ไม่ควรใช้รองเท้าวิ่งในการปั่น เพราะมีพื้นที่นิ่มเกินไป แนะนำให้ใช้รองเท้าที่มีพื้นแข็งเพื่อลดอาการปวดฝ่าเท้า และประสิทธิภาพที่ดีกว่านั่นเองค่ะ
- อย่าลืมวอร์มอัพร่างกายก่อนเริ่มออกกำลังกายทุกครั้ง ทำอย่างน้อย 5 – 10 นาที
- สำหรับมือใหม่ไม่ควรปั่นจักรยานด้วยความเร็วสูง และไม่ฝืดมากเกินไป เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ และลดความล้าของกล้ามเนื้อ
5. ฝึกกล้ามเนื้อด้วยดัมเบล
ก่อนฝึกกล้ามเนื้อด้วยดัมเบล เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า ต้องการเล่นดัมเบลในรูปแบบไหน เช่น สร้างความสมดุลให้ร่างกาย หรือสร้างกล้ามเนื้อ หรือสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ แต่หากต้องการสร้างกล้ามเนื้อให้เลือกดัมเบลที่สามารถปรับน้ำหนักได้ แต่ถ้าหากต้องการออกกำลังเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ก็อาจเลือกจากน้ำหนักที่เรายกไหวค่ะ หรืออาจจะลงทุนแบบครบเซ็ตไปเลยก็ตอบโจทย์ได้ดีเลยค่ะ นอกจากนี้การเลือกซื้อดัมเบลเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่รองรับการเล่นดัมเบลที่หลากหลาย อาจจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเช่น ม้านั่งสำหรับออกกำลังกาย ควบคู่ไปด้วย เพื่อรองรับการเล่นดัมเบลที่เข้มข้นขึ้น และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเล่นดัมเบลได้ด้วยค่ะ ข้อดีของการยกดัมเบลคือ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ช่วยให้อัตราการไหลเวียนของโลหิตทำงานได้ดี ช่วยให้กระชับสัดส่วน สร้างบุคลิกที่ดี และยังช่วยให้เผาผลาญไขมันได้ดีเลยค่ะ
คำแนะนำในการเล่นดัมเบล
- ควรจับดัมเบลให้แน่นอยู่ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ไม่หักข้อมือขึ้นหรือลงขณะจับดัมเบลอยู่
- ในการฝึกออกกำลังกายด้วยดัมเบล จะต้องยืดหลังให้ตรง ไม่หลังค่อมและแอ่นไปข้างหน้ามากเกินไป
- การยกดัมเบลไม่ควรเร่ง ไม่ควรยกขึ้นลงด้วยความเร็วเกินไป ต้องยกอย่างช้า ๆ เพื่อให้โดนจุดกล้ามในแต่ละส่วน
- ในการยกดัมเบลให้กำหนดลมหายใจ หรือฝึกบริหารลมหายใจให้ถูกต้อง ให้ปล่อยลมหายใจผ่านทางปากในขณะที่ยกดัมเบล และสูดลมหายใจเข้าผ่านจมูกเมื่อผ่อนแรงจากการยก
- (สำหรับท่าออกกำลังกายด้วยดัมเบลเราจะมาพูดถึงในบทความถัดไปนะคะสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่หน้าบทความของเราค่ะ)
6. เล่นฮูล่าฮูป
อุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่าย มีหลากหลายขนาด แต่ละขนาดจะให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น
- ฮูล่าฮูป ขนาด 75 cm. เหมาะสำหรับคนที่รูปร่างหรือตัวเล็ก ส่วนใหญ่นิยมนำไปเล่นโยคะมากกว่า
- ฮูล่าฮูป ขนาด 90 cm. จะเป็นขนาดมาตรฐาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 40 – 60 กิโลกรัมขึ้นไป เพราะฮูล่าฮูปขนาด 90 cm. นี้จะมีน้ำหนักพอดีที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย และเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
- ฮูล่าฮูป ขนาด 100 cm. เหมาะผู้เริ่มต้นและผู้ที่มีน้ำหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไป เพราะฮูล่าฮูปขนาด 100 cm. จะมีน้ำหนักที่เยอะกว่า และใหญ่กว่านั่นเองค่ะ
วิธีเล่นฮูล่าฮูปแบบง่าย
- ใส่ห่วงเข้าไปกลางลำตัวให้อยู่ในระดับเอว
- ยืนแยกขากว้างประมาณหัวไหล่
- บิดตัวเล็กน้อยพร้อมหมุนห่วงไปในด้านที่เราถนัด ให้ถ่ายเทน้ำหนักไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นให้ส่ายเอวไปมาตามห่วง พยายามอย่าให้ฮูล่าฮูปตก
คำแนะนำสำหรับการเล่นฮูล่าฮูป
- ในระหว่างที่เล่นอย่ากลั้นหายใจนะคะ ให้หายใจไปถามปกติเลยค่ะ
- ในระหว่างที่เล่น ให้เกร็งท้องเล็กน้อย
- สำหรับช่วงแรกของการเล่นฮูล่าฮูป ควรเริ่มที่ 15 นาทีก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มเวลาอย่างน้อย 30 – 40 นาทีต่อวัน ในช่วงแรกการหมุ่นฮูล่าฮูป อาจจะยาก เพราะห่วงฮูล่าฮูปจะตกอยู่บ่อย ๆ พยายามจับจังหวะการหมุ่นให้ได้นะคะ
7. ออกกำลังกายด้วยน้ำหนักตัว
การออกกำลังกายด้วยน้ำหนักตัว หรือที่เรียกว่า Body Weight นั่นเองค่ะ เป็นการออกกำลังกายที่ใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงต้าน ซึ่งข้อดีก็คือ ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระชับสัดส่วน เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูกและข้อต่อ เสริมสร้างสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง และสามารถเล่นได้ทุกพื้นที่ในบ้าน นอกจากนี้ยังเป็นการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ ค่ะ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่เริ่มออกกำลังกายเลยค่ะ
คำแนะนำสำหรับการออกกำลังกายด้วยบอดี้เวท (Body Weight)
- ก่อนออกกำลังกายทุกครั้งจะต้องวอร์มอัพ หรืออบอุ่นร่างกายให้พร้อมก่อนออกกำลังกาย อย่างน้อย 10 นาทีค่ะ
- ในการเริ่มบอดี้เวท (Body Weight) ให้เล่นท่าละ 30 วินาที พัก 30 วินาทีในระหว่างเซต และแต่ละท่าให้ทำท่าละ 2 – 3 เซตค่ะ
- ในการเล่นบอดี้เวทในช่วงแรกอาจมีการปวดกล้ามเนื้อแม้จะวอร์มอัพแล้วก็ตาม เนื่องจากกล้ามเนื้อของเราไม่ได้ถูกยืดเหยียดมาเป็นเวลานาน แต่อาการจะค่อย ๆ ทุเลาลงและหายไปเอง หลังจากช่วง 1 สัปดาห์
- ในช่วงแรกของการฝึก Body Weight ไม่ควรหักโหมจนเกินไป เพราะกล้ามเนื้อาจะเกิดการอักเสบและเสียหายได้ การฝึกบอดี้เวทจะต้องใช้เวลา และค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
ท่าออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับการเล่น Body Weight
- ท่ากระโดดตบ (Jumping Jacks) : ได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไหล่ หน้าอก น่อง แก้มก้น และขา
- ท่าวิดพื้น (Push-Up) : ได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าอก กล้ามเนื้อแขน และกล้ามเนื้อไหล่
- ท่าสควอท (Squat) : ได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน่อง แก้มก้น น่องขาหลัง และกล้ามเนื้อส่วนขาทั้งหมด
- ท่าแพลงก์ (Plank) : ได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง หัวไหล่ และแก้มก้น
- ท่าครันช์ (Crunch) : ได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
8.ออกกำลังกายแบบ HIIT
การออกกำลังกายแบบหนักหน่วงในช่วงเวลาสั้น ๆ สลับกับการออกกำลังกายแบบเบา ๆ หรือเป็นการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง ที่เพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ดี ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ สูงขึ้น และทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ การออกกำลังกายแบบ HIIT จะช่วยให้เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้ดี และดึงไขมันออกมาใช้ได้มาก นอกจากนี้หลังออกกำลังกายแล้วเสร็จแล้ว ร่างกายจะมีการเผาผลาญต่อเนื่องมากถึง 48 ชั่วโมงเลยทีเดียวค่ะ เหมาะสำหรับใครที่ต้องการการเผาผลาญเยอะ ๆ นั่นเองค่ะ
คำแนะนำสำหรับการออกกำลังกายแบบ HIIT
- ตัวอย่างของการออกกำลังกายแบบ HIIT คือ การวิ่งให้เร็วที่สุด 15 วินาที สลับกับการวิ่งเบา ๆ 30 วินาที จากนั้น ทำแบบนี้ต่อเนื่องประมาณ 5 – 10 นาที
- ก่อนเริ่มออกกำลังกายทุกครั้งจะต้องวอร์มอัพ หรืออบอุ่นร่างกาย อย่างน้อย 10 นาที
- การออกกำลังกายแบบ HIIT สามารถปรับใช้กับการออกกำลังกายแบบ บอดี้เวท (Body Weight) ได้ค่ะ
- สามารถปรับการออกกำลังกายแบบ HIIT ร่วมกับการออกกำลังกายแบบ คาร์ดิโอได้ เช่นการวิ่ง การปั่นจักรยาน เป็นต้น